มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) เป็นองค์กรสาธารณประโยชน์อิสระที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็น “สมองเชิงระบบ” ของสังคมไทย
ทำงานเชื่อมความรู้ ผู้คน และกระบวนการนโยบายสาธารณะ เพื่อยกระดับระบบสุขภาพบนฐานของหลักฐานและการเรียนรู้ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง มสช. เกิดจากข้อถกเถียงสำคัญปลายทศวรรษ 2530 ว่า “กลไกให้คำปรึกษาด้านสาธารณสุขของประเทศ” ควรอยู่ใต้ระบบราชการหรือควรเป็นองค์กรอิสระ สุดท้ายผู้ก่อตั้งเห็นตรงกันว่าไทยจำเป็นต้องมีองค์กรที่คล่องตัวและพ้นจากแรงปะทะทางการเมือง จึงร่วมกันยกร่างข้อบังคับ และจดทะเบียนเป็นมูลนิธิเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) นับแต่นั้น มสช.ได้ทำหน้าที่ระดมสมอง จัดประชุมวิชาการ สังเคราะห์ความรู้ และทำงานวิจัยเชิงนโยบายควบคู่กับภาคีรอบด้านของระบบสุขภาพไทยเสมอมา
หลังปี 2536 เมื่อคณะกรรมการระบาดวิทยาแห่งชาติ (NEBT) กลไกที่ร่วมทำงานกันมาตั้งแต่ต้น ถูกยุบ งาน คน และแผนปฏิบัติการจำนวนมากถูกถ่ายโอนสู่ มสช. ทำให้บทบาทของมูลนิธิขยายจาก “เวทีระดมสมองและประสานเครือข่าย” ไปสู่ “การสร้าง-จัดการ-แปลงความรู้” อย่างเป็นระบบ มสช. จึงก่อตั้งสถาบันวิชาการเฉพาะทางหลายแห่งในเวลาต่อมา เพื่อสานต่องานด้านความรู้ที่ประเทศต้องการอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง
ปัจจุบัน มสช. ยังยืนบนหลักเดิม เป็นองค์กรอิสระที่สร้าง จัดการ และประยุกต์ใช้ความรู้ เพื่อหนุนการตัดสินใจและการดำเนินงานด้านสุขภาพที่มีคุณภาพ พร้อมโฟกัสในประเด็นยุทธศาสตร์ที่สังคมกำลังเผชิญ เช่น โรคไม่ติดต่อ (NCDs) สุขภาพเด็กและเยาวชนกับการพนัน ความปลอดภัยทางถนน การสูงวัยอย่างกระฉับกระเฉง การใช้กัญชาทางการแพทย์ ตลอดจนการพัฒนาความร่วมมือระดับนานาชาติ (เช่น iDSI) และริเริ่มด้าน Digital Health ขององค์กรเอง
ปรัชญาและแรงบันดาลใจ
หัวใจของ มสช. คือความเชื่อว่าประเทศจะยืนหยัดผ่านความผันผวนได้ ไม่ใช่ด้วย “ความเห็น” หากแต่ด้วย “ความรู้ที่ใช้การได้จริง” และ “การจัดการความรู้” อย่างมีชั้นเชิง ความรู้จึงต้องสอดคล้องกับปัญหาจริง ถูกทำให้อยู่ในรูปใช้งานได้ ประเมินผลได้ และย้อนกลับมาเติมเต็มการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง นี่คือปรัชญาของ “สังคมบนฐานความรู้เพื่อสุขภาพ” ที่เรายึดมั่น
ปรัชญานี้ยังย้ำว่า “ปัญญาร่วม” เกิดจากโครงสร้างการทำงานแบบเครือข่าย ประหนึ่งเซลล์สมองที่เชื่อมกันนับอนันต์ เมื่อความรู้และผู้คนถูกเชื่อมร่วมกันอย่างถูกวิธี แสงเล็ก ๆ จากเทียนหลายเล่มจะรวมเป็น “ลำแสงเลเซอร์ของปัญญา” ที่ทรงพลังกว่าการฉายแสงเพียงลำพัง มสช. จึงทำหน้าที่เป็น “ตัวช่วย” ที่คอยจุด คอยเชื่อม และคอยขยายแสงแห่งความรู้ ไม่ใช่เจ้าของความรู้แต่ผู้เอื้อให้สังคมใช้ความรู้ได้ดีขึ้นเพื่อสุขภาวะของคนทั้งมวล
สถานภาพ
องค์กรสาธารณประโยชน์อิสระ ทำหน้าที่เชื่อมความรู้สู่นโยบาย
ก่อตั้ง
28 ตุลาคม 2534 (ค.ศ. 1991)
พัฒนาบทบาท
จากเวทีระดมสมอง สู่การสร้าง–จัดการ–แปลงความรู้ และตั้งสถาบันเฉพาะทางเพื่อรองรับงานสำคัญเร่งด่วนของประเทศ
วิสัยทัศน์
เป็นภาคีที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะด้านสุขภาพของไทย ด้วยการเชื่อมโยงสติปัญญาจากฐานรากสู่ระดับนโยบาย เพื่อสร้างสุขภาวะของคนไทยอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
มสช. มองภาพอนาคตของระบบสุขภาพไทยเป็น “ระบบที่ขับเคลื่อนด้วยความรู้” ตั้งโจทย์จากปัญหาจริง ร้อยเรียงหลักฐานเชิงประจักษ์เข้ากับประสบการณ์ภาคสนาม และเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายอย่างมีคุณภาพ ตั้งแต่การคิด พัฒนา ทดลอง ใช้ ไปจนถึงประเมินและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เราเลือกยืนอยู่นอกโครงสร้างอำนาจรัฐ เพื่อคงความเป็นกลางและความคล่องตัว และทำหน้าที่ “สะพาน” เชื่อมภาครัฐ มหาวิทยาลัย ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และเครือข่ายนานาชาติ ให้ร่วมกันเขยื้อน “ภูเขา” แห่งปัญหาใหญ่ได้จริง ตามแนวคิด “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” ของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ที่วางฐานคิดไว้ตั้งแต่แรกเริ่มของมูลนิธิฯ
พันธกิจหลัก
เพื่อให้วิสัยทัศน์ข้างต้นลงสู่การปฏิบัติ มสช. กำหนดพันธกิจหลัก ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่คณะกรรมการมูลนิธิปรับปรุงในปี พ.ศ. 2545 ดังนี้
- - บริหารจัดการให้เกิดการ “สร้าง–จัดการ–ใช้” ความรู้ เพื่อพัฒนาระบบสุขภาพในเรื่องสำคัญของประเทศ โดยทำงานแบบองค์รวม เชื่อมหลักฐานเชิงประจักษ์เข้ากับสภาพจริงในพื้นที่และเสียงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่หลากหลาย
- - สนับสนุนให้สังคมไทย “ใช้ความรู้” ประกอบการตัดสินใจ ทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการ ผ่านกระบวนการสื่อสารสาธารณะและพื้นที่เรียนรู้ร่วมที่เข้าถึงได้และไว้วางใจได้
- - เสริมสร้างสมรรถนะคนและองค์กรในระบบสุขภาพ ด้วยการอบรม การให้คำปรึกษา และโครงการพัฒนาผู้นำ/ทุนพัฒนาศักยภาพ เพื่อให้ประเทศมีทรัพยากรมนุษย์ด้าน “การจัดการความรู้เชิงระบบสุขภาพ” เพียงพอและทันสมัย
- - ทำงานเพื่อสาธารณประโยชน์โดยร่วมมือกับองค์กรกุศลอื่น ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อบูรณาการทรัพยากร ความชำนาญ และบทเรียนข้ามพรมแดนอย่างมีคุณค่า
- - ธำรงความเป็นกลางทางการเมือง เพื่อคงความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจของทุกภาคส่วนในระยะยาว (ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด)
บทบาทและจุดเน้นของ “กระบวนการทำงาน”
ตั้งโจทย์ร่วมบนปัญหาจริง (Co-defining Problems)
เริ่มจากการชี้ปัญหาเชิงระบบ/นโยบายที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตคนจำนวนมาก (เช่น NCDs การพนันเยาวชน ความปลอดภัยทางถนน การสูงวัยคุณภาพ กัญชาทางการแพทย์ ฯลฯ) แล้วเชิญผู้เกี่ยวข้องที่หลากหลายเข้ามาร่วม “ตั้งโจทย์” และกำหนดเป้าหมายร่วมกัน เพื่อลดอคติและเพิ่มความเป็นเจ้าของร่วมของแนวทางแก้ไข
สร้าง–จัดการ–แปลงความรู้ (Create–Curate–Translate Knowledge)
มสช. ทำงานวิจัย สังเคราะห์หลักฐาน (evidence synthesis) และจัดการความรู้ (knowledge management) ควบคู่ไปกับการ “แปลความรู้” (knowledge translation) ให้เข้าใจง่าย ใช้งานได้ และเชื่อมเข้ากับสภาพแวดล้อมจริง ตั้งแต่เอกสารนโยบายสั้น (policy brief) คู่มือปฏิบัติ ไปจนถึงเครื่องมือสนับสนุนการตัดสินใจที่เหมาะกับบริบทไทย
เปิดพื้นที่นโยบายแบบมีส่วนร่วม (Participatory Policy Process)
จัดเวทีและกระบวนการที่ทุกฝ่าย “เห็นข้อมูลก้อนเดียวกัน” ถกเถียงอย่างเป็นธรรม กลั่นกรองทางเลือกเชิงนโยบาย และร่วมกันตัดสินใจ สอดคล้องกับแนวคิด “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” ที่บูรณาการพลังความรู้ การเมืองเชิงสร้างสรรค์ และพลังสังคมให้เดินไปพร้อมกัน
เสริมพลังเครือข่ายและสมรรถนะ (Network & Capability Building)
สร้างและหนุนเครือข่ายนักวิชาการ ผู้ปฏิบัติการ และผู้นำรุ่นใหม่ (เช่น โครงการ Positive Health Disruptor Fellowship ความร่วมมือ iDSI และงานด้าน Digital Health) เพื่อให้ “โครงข่ายความรู้” ของประเทศหนาแน่น คล่องตัว และยืดหยุ่นต่อความเปลี่ยนแปลง
ตัวอย่างงานตามยุทธศาสตร์ปัจจุบัน
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
ทำไม มสช. ต้องขับเคลื่อนงาน NCDs
NCDs: โจทย์ใหญ่ ที่หลายหน่วยงานต้องร่วมผลักดัน
โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases – NCDs) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง และโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง คือสาเหตุการเสียชีวิตและทุพพลภาพอันดับต้น ๆ ของคนไทยและประชากรโลก องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า NCDs ทำให้ประชากรโลกเสียชีวิตกว่า 74% ของการเสียชีวิตทั้งหมดต่อปี และในประเทศไทย NCDs คร่าชีวิตคนกว่า 400,000 คนต่อปี สร้างภาระค่าใช้จ่ายทางสาธารณสุขและเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
สาเหตุของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มิได้จำกัดอยู่เพียงพฤติกรรมสุขภาพส่วนบุคคลอย่างการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ หรือการดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น หากแต่ยังมี “ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ” (Social Determinants of Health) ที่ฝังรากลึกและส่งอิทธิพลอย่างซับซ้อนต่อพฤติกรรมและโอกาสในการมีสุขภาพที่ดี ปัจจัยเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เช่น การมีหรือไม่มีพื้นที่สีเขียวและสถานที่ออกกำลังกายที่ปลอดภัย สภาพแวดล้อมทางอาหารที่เกี่ยวข้องกับความพร้อม ราคา และคุณภาพของอาหารปลอดภัยจากสารตกค้าง ไปจนถึงมิติทางเศรษฐกิจและการทำงานซึ่งกำหนดความมั่นคงทางรายได้และระดับความเครียดของผู้คน รวมทั้งนโยบายและกฎระเบียบที่ควบคุมหรือปล่อยให้เข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และอาหารที่เป็นโทษต่อสุขภาพได้ง่าย ตลอดจนวัฒนธรรมและวิถีชีวิตในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีมอบความสะดวกสบายจนเอื้อให้เกิดพฤติกรรมเนือยนิ่งมากขึ้น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแรงกำหนดสำคัญที่ต้องพิจารณาควบคู่กับการปรับพฤติกรรมส่วนบุคคล หากต้องการแก้ปัญหา NCDs อย่างยั่งยืน.
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) เห็นว่า การแก้ปัญหา NCDs ต้องก้าวข้ามการรักษาหรือการรณรงค์เชิงพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว แต่ต้องปรับ โครงสร้างและสภาพแวดล้อมของสังคม ให้เอื้อต่อพฤติกรรมสุขภาพที่ดี โดยใช้ฐานความรู้ หลักฐานเชิงประจักษ์ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ มสช. เลือก NCDs เป็นหนึ่งในประเด็นยุทธศาสตร์หลัก เพื่อเป็นพื้นที่แสดงรูปธรรมของการบูรณาการความรู้ การทำงานเชิงระบบ และการเชื่อมโยงชุมชนสู่ระดับนโยบาย
ปัญหา NCDs ไม่ใช่เพียงโจทย์ทางการแพทย์ แต่เป็นความท้าทายเชิงโครงสร้างและสังคมที่ต้องการ กลไกการทำงานแบบ “มสช.” องค์กรอิสระที่เชื่อมความรู้ หลักฐาน และทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน เพื่อขับเคลื่อนจากระดับพื้นที่สู่ระดับนโยบาย และในที่สุดต้อง ร่วมกันผลักดันให้ข้อเสนอเหล่านี้กลายเป็น “นโยบายระดับชาติ” ที่ขับเคลื่อนระบบสุขภาพไทยให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
ทำความรู้จัก มสช. ให้มากขึ้น
ดาวน์โหลดหนังสือ “ความรู้จากความหลัง: 30 ปี มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ” และชมวิดีทัศน์แนะนำองค์กร เพื่อเข้าใจบทบาท การทำงาน และเส้นทางการขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพของไทย