ทำไมเราต้องทำเรื่องนี้? ยังไม่เสร้จรออัพเดทเนื้อหา ทั้งหมดอีกครั้ง

คนไทยตายเพราะ NCDs เป็นอันดับหนึ่ง

โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable diseases) หรือ NCDs เป็นสาเหตุหลักถึง 3 ใน 4 ของการเสียชีวิตทั่วโลก และเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตต่อเนื่องมากว่า 5 ปี จากข้อมูลของกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี 2566 มีผู้เสียชีวิตจากโรค NCDs ทั้งหมด 325,000 คน หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 37 คน โดยอัตราตายด้วยโรค NCDs ในประเทศไทย คือ 472.8 ต่อแสนประชากร ซึ่งสูงกว่าอัตราตายเฉลี่ยของโลก ซึ่งอยู่ที่ 398.9 ต่อแสนประชากร

กลุ่มโรค NCDs ที่สำคัญประกอบด้วย 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด (รวมถึงโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง) 2) กลุ่มโรคเบาหวาน 3) กลุ่มโรคมะเร็ง และ 4) กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง (รวมถึงโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและโรคหอบหืด)


NCDs ไม่ใช่โรคของคนแก่อีกต่อไป

โดยทั่วไปมักมีความเข้าใจกันว่าโรค NCDs เป็นโรคของผู้สูงอายุ เพราะสะสมพฤติกรรมเสี่ยงมาเป็นเวลานานตั้งแต่วัยหนุ่มสาว แต่จากข้อมูลพบว่าประมาณ 1 ใน 4 ของการตายด้วยโรค NCDs เป็นการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร (อายุ 30-60 ปี) ณ ปัจจุบันคนไทยกว่า 14 ล้านคนกำลังเป็นโรค NCDs และมีแนวโน้มว่าผู้ป่วยเบาหวานความดันจะมีเพิ่มขึ้นปีละ 5% โดยเฉพาะวัยแรงงานที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูงสุด จากการดำเนินชีวิตประจำวันที่ไม่สมดุล ทั้งเรื่องการกิน การนอน การออกกำลังกาย และการทำงานที่ไม่รู้จักพักผ่อน หรืออยู่นิ่งๆ กับที่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ทุกวันต่อเนื่อง ล้วนส่งผลเสียต่อสุขภาพ


NCDs โรคร้ายตายผ่อนส่ง ฉุดรั้งเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ

การเสียชีวิตด้วยโรคเบาหวาน โรคหัวใจ คนมักให้ความรู้สึกว่าเป็นโรคธรรมดา แต่ถ้าลองสำรวจย้อนกันไปใน ครอบครัวหนึ่งจะต้องมีอย่างน้อย 1 คนที่เสียชีวิตด้วยโรค NCDs ด้วยธรรมชาติของโรคที่เป็นโรคเรื้อรัง มีการดำเนิน ของโรคเป็นไปอย่างช้า ๆ จนถึงอาการวิกฤติของโรคแล้วเสียชีวิตไปในที่สุด

ระหว่างของการรักษาโรคนี้ใช้ระยะเวลายาวนานหลายปี ต้องได้รับยาอย่างต่อเนื่อง และต้องเดินทางไป ติดตามอาการกับแพทย์อย่าสม่ำเสมอ เบื้องหลังของเหตุการณ์นี้คือค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าเสีย โอกาสในการทำงาน การอยู่ในสภาพที่ไม่แข็งแรงเต็มที่ต้องเสียค่ายาแล้วยังสร้างรายได้ไม่ได้ ทำให้ประชากรเสียชีวิต ก่อนวัยอันควร หรือการที่ผู้ป่วยบางคนต้องมีผู้ดูแลพิเศษ คนในครอบครัวต้องหาเงินมาช่วยค่ารักษาพยาบาล หรือแม้ กระทั่งในมุมของบุคลากรทางการแพทย์เอง ส่วนหนึ่งต้องมาดูแลรักษาผู้ป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังจำนวนมากทั้งที่ เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นมูลค่าของค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพในแต่ละปีที่มี มูลค่ามหาศาล

โรค NCDs ก่อให้เกิดภาระทางเศรษฐกิจทั้งในระดับครัวเรือนและระดับประเทศ องค์กรอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่าหากประเทศต่างๆ ทั่วโลกยังไม่ดำเนินการอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม ในช่วงปีพ.ศ. 2554-2568 (ค.ศ. 2011-2025) จะเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากโรค NCDs อยู่ที่ประมาณ 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังจะ ทำให้ประชากรทั่วโลกติดอยู่ในความยากจนเป็นจำนวนหลายล้านคน

นอกจากผลกระทบทางด้านสุขภาพแล้ว การเจ็บป่วยด้วยโรค NCDs ของประชากรในประเทศนั้นทำให้โอกาส ทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศลดลง

วิธีการทำงานเรื่อง NCDs ที่ผ่านมาของไทย

เรื่องปัญหาสุขภาพต้องกระทรวงสาธารณสุข แต่ “ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ”

ความท้าทายในอดีต

  • การรับมือด้วยการจ่ายยาไม่เพียงพอ
  • ความตระหนักถึงปัญหาน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป
  • สภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี
  • การทำงานของกระทรวงสาธารณสุขเพียงฝ่ายเดียวไม่เพียงพอ
  • กลไกการทำงานหลายภาคส่วน (MSC) ในอดีตไม่ประสบความสำเร็จ

ทางออกที่เสนอ

  • ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน (Multisectoral Collaboration - MSC)
  • เชื่อมโยงงานกับกระทรวงอื่น ๆ
  • เน้นการทำงานกับผู้บริหารระดับกลาง (Middle Management) ที่เป็น "คน(ใน)ที่ใช่"
  • สร้างและสื่อสารความรู้ (Knowledge Production and Translation) อย่างมีประสิทธิผล

ข้อมูลเชิงนโยบายจากกระทรวงต่างๆ

ตารางข้อมูลจากกระทรวง
ปัจจัยเสี่ยง / กระทรวง บุหรี่ เหล้า อาหาร กิจกรรมทางกาย
กระทรวงคลัง - ภาษียาเส้น, ขึ้นภาษียาสูบเป็น 40%, ขึ้นภาษีตามภาวะเงินเฟ้อ - ลดความแตกต่างของภาษีระหว่างประเภทสุรา, ขึ้นภาษีตามภาวะเงินเฟ้อ - ขึ้นภาษีน้ำตาลและภาษีเกลือ, ขึ้นภาษีตามภาวะเงินเฟ้อ - ภาษีสารเคมี - subsidy
กระทรวงพาณิชย์ - การค้าเสรี, ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ - การค้าเสรี
กระทรวงศึกษาธิการ - โรงเรียนสุขภาพดี (Healthy school)
กระทรวงแรงงาน - เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 6 เดือน - Subsidy เพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
กระทรวงพัฒนาสังคมฯ - ไม่สูบบุหรี่ในบ้าน
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ - กองทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านอาชีพผู้ปลูกยาสูบ - ระบบเฝ้าระวังสารพิษในอาหาร
อ.ย./ กสทช. - ควบคุมการตลาดอาหาร/นมผง

ช่องว่างที่เกิดขึ้น ช่องโหว่ที่พบ

จากความพยายามของประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขและภาคีด้านสุขภาพที่ผ่านมายังไม่สามารถแก้ไขป้องกันการเกิดโรค NCDs ไปถึงเป้าหมายที่คาดหวังไว้ได้ชัดเจนนัก แม้จะสามารถผลักไปให้เป็นแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติและวางกลไกให้เกิดความร่วมมือจากหลายภาคส่วน หลายกระทรวง แต่กลับพบว่ายังไม่เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควร เนื่องจากปัญหา NCDs เป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลาและความต่อเนื่องของการทำงานเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่การทำงานที่ผ่านมา ส่วนมากคนที่มาประชุมจะเป็นตัวแทนรับเรื่องและกลับไปนำเสนอ เป็นรูปแบบการทำงานที่ต้องรอคำสั่งจากบนลงล่าง จึงทำให้การบังคับใช้ ติดตาม และประเมินผลของแผนและนโยบายยังขาดการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง การประสานงานระหว่างหน่วยงานจึงลดประสิทธิภาพลงไปด้วย

"ปัญหา NCD ยาวนานกว่าคนทำงาน อายุคนทำงานเปลี่ยนไปเรื่อยอยู่ไม่กี่ปีก็ย้าย แต่ปัญหายังแก้ไม่จบ จึงต้องทดลองหาวิธีการทำงานใหม่ ที่ไม่ต้องรอคำสั่งจากข้างบน ไปทำงานกับคนระดับกลาง เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง"

แนวคิด UCIKT

U - User-oriented

ผู้ใช้ความรู้เป็นตัวตั้งในการสร้างและสื่อสารความรู้

C - Comprehensive

มีกระบวนการที่ครอบคลุมครบวงจรของผู้ใช้และผู้สร้างข้อมูล

I - Integrated

บูรณาการดึงคนทำงานในกระทรวงเข้ามาร่วมตั้งแต่ต้น

KT - Knowledge Translation

ใช้ความรู้ผลักดันนโยบาย แปลความรู้ให้คนในภาคปฏิบัติใช้ได้

การทำงานด้วย “ฉันทะ”

ทำงานในระดับกลาง (Middle Management) ผู้บริหารระดับกลางจึงเป็นคนสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้นโยบายไปสู่ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้

คน(ใน) ที่ใช่ เป็นรูปแบบการทำงานที่ไม่เป็นทางการ แต่เป็นการทำงานในภารกิจที่คนในกระทรวงนั้นๆ ต้องรับผิดชอบอยู่แล้วเดิม แล้วเลือกประเด็นสุขภาพที่สนใจ เลือกนโยบายที่อยากทำร่วมกัน การขับเคลื่อนงานในรูปแบบนี้จึงตอบโจทย์ให้คนทำงานว่าไม่ต้องรอคำสั่งแต่เริ่มทำได้เลย โดยใช้ชุดข้อมูลที่แต่ละคนมีมารวมกันแล้วร่วมพิจารณาความเป็นไปได้ในการสร้างนโยบายใหม่ที่จะส่งเสริมเรื่องสุขภาพให้กับคนในสังคมเสนอต่อระดับบริหารต่อไป

"กิจกรรมหลักของโครงการนี้ คือ Policy content เป็นเรื่องราวการแก้ปัญหาจริง ๆ วิจัยที่เรื่องกระบวนการเชิงนโยบายว่ารูปแบบที่ตั้งสมุติฐานนี้มีประสิทธิผลจริงหรือไม่ คน(ใน)ที่ใช่ คือ สะพานที่เชื่อมต่อระหว่างกระทรวง"

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

NCDs เป็นปัญหาสำคัญ ต้องการกลไกการทำงานหลายภาคส่วน (Multi Sectoral Collaboration : MSC) ที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา แต่ MSC ในรูปแบบในอดีตที่ผ่านมาไม่สามารถส่งผลดังที่คาดหวัง ประเทศไทยยังขาดความรู้เกี่ยวกับมาตรการที่สามารถยกระดับหลายภาคส่วนอย่างได้ผล จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาและประเมินผลของมาตรการแนวใหม่ที่จะสามารถยกระดับการทำงานหลายภาคส่วนได้อย่างมีประสิทธิผล ปฏิบัติได้ และ ยั่งยืน

ความมุ่งหมายที่จะยกระดับการทำงานหลายภาคส่วน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อการป้องกันและควบคุมปัญหา NCDs ในโครงการนี้ มุ่งสร้างและสื่อสารความรู้ไปยังผู้ใช้ความรู้ซึ่งเป็นผู้กำหนดนโยบายของกระทรวงต่างๆ นอกภาคสุขภาพ ด้วย UCIKT และวิธีการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้บรรลุผลดังกล่าว