ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
มสช. ชวนคิด | ฐาณัฒรวีย์ ศรีสยาม | 26 เมษายน 2567
โรงเรียนเป็นแหล่งบ่มเพาะความรู้ให้กับเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ ทั้งโรงเรียนยังเป็นศูนย์รวมความร่วมมือระหว่างองค์กรในท้องที่ท้องถิ่นและผู้ปกครอง ประชาชนคนทั่วไป โรงเรียนจึงเป็น เป้าหมายของแหล่งการเรียนรู้ต้นๆ ที่ต้องการเผยแพร่สู่สาธารณะ และมุ่งสร้างให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้โดยเป็นเจ้าขององค์ความรู้ต่างๆ ด้วยตนเอง
ในโครงการ “วิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อยกระดับการทำงานหลายภาคส่วนที่มีประสิทธิผล ปฏิบัติได้และยั่งยืน เพื่อการป้องกันและควบคุมปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ด้วยวิธีการสื่อสารความรู้แบบครอบคลุมโดยมีผู้ใช้ความรู้เป็นศูนย์กลาง” ดำเนินงานโดย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ มุ่งศึกษาการทำงานเพื่อขับเคลื่อนนโยบายป้องกันและควบคุมการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังคู่ขนานไปกับภารกิจหลักของกระทรวงอื่นๆ ภายนอกกระทรวงสาธารณสุข กับผู้บริหารระดับกลาง (Middle Manager) ซึ่งเป็น “คนที่ใช่” ในกระทรวงนั้นๆ ด้วยความเชื่อว่า การสื่อสารความรู้แบบครอบคลุมโดยมีผู้ใช้ความรู้เป็นศูนย์กลาง : User-Oriented Comprehensive Integrated Knowledge Translation หรือ UCIKT จะทำให้เกิดประสิทธิผลในการขับเคลื่อนไปได้ในระยะยาว
ผอ.ณัฐชยา เม็นไธสงผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา สำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือหนึ่งใน “คนที่ใช่” ของกระทรวงศึกษาธิการ ผู้สนใจประเด็นการส่งเสริมความรู้เรื่องสุขภาพให้กับเด็ก และเยาวชนในระดับของการสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับสุขภาพ (Health Consciousness) บทความนี้เราได้สัมภาษณ์ในมุมมองของคนต่างจากกระทรวงสาธารณสุขว่าการขับเคลื่อนประเด็นสุขภาพ ในฝั่งของกระทรวงอื่นๆ นั้นจะหาจุดร่วมไปด้วยกันได้อย่างไร
ในตอนเริ่มต้นโครงการนี้ ในฝั่งของกระทรวงศึกษาธิการ เกิดจากนโยบายของ ว่าที่ร้อยตรี ธนุวงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้วยเห็นความสำคัญว่าเริ่มพบโรค NCDs เกิดในวัยเด็กมากขึ้น จึงควรนำประเด็นด้านการส่งเสริมสุขภาพเข้ามาปรับในสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาที่มีอยู่เดิม นอกจากนี้ในด้านปรัชญาการศึกษาเองแล้ว ก็มีการกล่าวถึงสุขภาพที่ดีนำไปสู่การเรียนรู้ที่ดีด้วยเช่นกัน
“ประเด็นการส่งเสริมสุขภาพกับการเรียน หากย้อนไปดูนักการศึกษาในอดีตอย่างอริสโตเติลหรือ เพลโต ก็ได้กล่าวว่า การที่เด็กจะเรียนรู้ได้ดี หรือมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ที่ดีจะต้องมีร่างกายที่ดีก่อน การสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อม การบริการสุขภาพ และการสอนสุขศึกษา เป็นสิ่งที่สำคัญ สำหรับประเทศไทยเราได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ได้ให้ความสำคัญกับสุขภาพเด็กในวัยเรียน ตั้งแต่มีหลักสูตรสุขศึกษาครั้งแรกปี 2438 ที่ได้ให้ความสำคัญว่าเด็กจะเติบโตเป็นคนที่มีพลัง หรือเป็นพลเมืองที่ดี มีความคิดที่ดี เรียนได้ดี ต้องมีสุขภาพ ที่ดีด้วย” ผอ.ณัฐชยา กล่าว
ฉะนั้น การส่งเสริมความรู้ประเด็นสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนในทุกช่วงวัยอยู่แล้ว ด้วยเป็นองค์ความรู้พื้นที่ฐานที่จะทำให้เด็กมีสุขภาพกายดี สุขภาพจิตดี นำไปสู่ การเรียนรู้ที่ดี
เรื่องสุขภาพเด็กก็เกี่ยวข้องกับสุขภาพครูด้วยเช่นกัน ด้วยว่าครูเป็นผู้ส่งต่อความรู้เป็นผู้สอน หากครูมีสุขภาพกายสุขภาพใจที่ไม่ดีก็ยากที่จะส่งต่อความรู้ด้านสุขภาพที่ดีให้ถึงนักเรียนได้
ผอ.ณัฐชยา ได้เล่าว่า จากการดำเนินงานในเฟสที่ 1 ได้ค้นพบว่า ครูได้รับบทหนักทั้งในเรื่องการจัดการเรียนการสอนและการรายงานด้านสุขภาพจำนวนมาก สิ่งที่จะช่วยเหลือครูให้ทำงานหรือจัดการเรียนการสอนอย่างมีความสุข และนักเรียนได้สนุกกับการเรียนรู้ด้านสุขภาพอย่างเข้าใจ คือ การบูรณาการโครงการ เพื่อลดภาระงาน (อื่นๆ)น้อยลงและสามารถเน้นการเรียนการสอนเรื่องสุขภาพในห้องเรียนได้มากขึ้นและใช้สื่อ ทรัพยากรต่างๆจาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าในการจัดการเรียนการสอนสุขศึกษาในห้องเรียนและนอกห้องเรียน จึงเป็นเหตุของการเข้าร่วมโครงการกับมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และศึกษาในประเด็น “นวัตกรรมการบูรณาการเครือข่ายด้านสุขภาพ ตามนโยบาย ลดภาระครู: บูรณาการจัดการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมสุขภาพตามรูปแบบ Health Consciousness ในสถานศึกษา”
ที่ผ่านมา ปัญหาหลักๆ ที่พบคือ ครูมีภาระงานมากจากโครงการต่างๆ ที่เข้ามาแบบแยกส่วน แม้บางโครงการจะมีลักษณะเนื้อหาเดียวกัน หรือคล้ายกันแต่ต่างหน่วยงาน ทำให้การดำเนินงานซ้ำซ้อน มีตัวชี้วัดมากมายและล่วงเลยเวลาของครู
“ตัวคุณครูเองก็ไม่ใช่หมอและมีภาระในงานสอน การเข้ามาหลายๆ โครงการ สุดท้ายการสอนของครูก็ไม่ได้เห็นเป็นองค์รวมในสุขภาพทั้งร่างกาย เพราะมีการทำงานแบบเป็นเรื่องๆ ไป” ผอ.ณัฐชยา สะท้อน
จากการดำเนินงานโครงการฯ สิ่งที่ ผอ.ณัฐชยา ค้นพบ คือ จะทำอย่างไรให้ครูได้ทำบทบาท ของตัวเองมากขึ้นในการจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ ร่วมกับผลการศึกษาในประเด็น “การบูรณาการการส่งเสริมสุขภาพในวัยเรียน” เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย โดย รศ.ดร.ภูเบศร์ สมุทรจักร สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งก็พบว่าหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขมีหลายหน่วยงาน ทำให้ตัวชี้วัดแต่ละโครงการก็มากไปด้วย ในขณะที่โรงเรียนก็มีตัวชี้วัดเดิมอยู่แล้ว ในหลักสูตร จุดนี้จึงทำให้ครูมีภาระงานมากขึ้น
“สิ่งที่เราควรจะทำ คือ การบูรณาการการทำงาน บูรณาการตัวชี้วัด และการใช้แพลตฟอร์ม การรายงานร่วมกัน และการบูรณาการในหลักสูตร ซึ่งต้องมีการปรับหลักสูตรฐานสมรถนะ เราได้เห็นความสำคัญว่าการให้คนได้มีสุขภาพดี ต้องเกิดจากจิตสำนึกของคนคนนั้น ในการที่จะตัดสินใจเลือกบริโภค หรือเลือกซื้อเลือกใช้เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเองได้ในอนาคต เป็นเรื่องที่ไปถึง self-conscious มากกว่าที่จะเรียนรู้เพียง knowledge เป็นการปรับไปสู่ความเป็นองค์รวมมากขึ้น” ผอ.ณัฐชยา กล่าว
หากต้องปรับการประเมินการเรียนรู้ และปรับเปลี่ยนหลักสูตรเดิมเป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ แล้ววันนี้สาระการเรียนรู้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานปัจจุบันเป็นอย่างไร
ประเทศไทยใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานในกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและ พลศึกษา ตั้งแต่ปี 2551 ถึงวันนี้ 16 ปีเต็มแล้ว ซึ่งเมื่อมาดูสถานการณ์ด้านสุขภาพในปัจจุบัน ยุคสมัย ที่เปลี่ยนแปลงไป วิธีการดูแลสุขภาพก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย การจะส่งเสริมประเด็นสุขภาพเด็ก ในสถานศึกษา จึงต้องอัพเดทให้เท่าทันกับโรคใหม่ๆ ในปัจจุบันด้วย ทั้งนี้ การส่งเสริมสุขภาพที่คงทนต้องทำตั้งแต่การสร้างเจตคติที่ดีต่อการดูแลสุขภาพของตนเอง การให้ความรู้วิธีการในการดูแลสุขภาพ และการฝึกฝนทำซ้ำจนเกิดเป็นทักษะหรืออุปนิสัยส่วนบุคคลและนำไปสู่การปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวัน
“แต่ในความจริงวันนี้เด็ก ๆ ได้รับความรู้ ส่วนเจตคติเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับบุคคล ส่วนทักษะ เมื่อออกไปนอกรั้วโรงเรียนเด็กอาจเปลี่ยนพฤติกรรมไปตามปัจจัยแวดล้อม” ผอ.ณัฐชยา สะท้อน
ช่องทางที่จะสามารถส่งเสริมประเด็นสุขภาพให้กับนักเรียนได้ คือ หลักสูตร กิจกรรมเสริมหลักสูตร และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ซึ่งต้องลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ นั่นหมายถึงให้เด็กได้ฝึกฝนทักษะ นำไปใช้ แล้วส่งผลต่อเจคติที่ดีต่อการส่งเสริมสุขภาพ รวมถึงลดภาระครูเพื่อมาทำบทบาทของตนเอง ในชั้นเรียนให้มากขึ้น ออกแบบกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้แก่เด็กนักเรียน
ผอ.ณัฐชยา เล่าว่า การพัฒนาหลักสูตรบูรณาการด้านสุขภาพขึ้นมาใหม่ ต้องมองในทุกมิติ ในทุกช่วงวัยในระบบการศึกษา โดยเฉพาะปฐมวัยซึ่งเป็นวัยที่สามารถบอกต่อผู้ปกครองได้ และองค์ความรู้สามารถติดตัวเด็กไปได้จนโต ทั้งนี้ การปรับพัฒนาหลักสูตรจะต้องไม่ทำให้เปลี่ยนแปลงหลักสูตรสาระการเรียนรู้แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี 2551 แต่สามารถเข้าไปเสริม บูรณาการให้เห็นภาพชัดขึ้น ให้มีความทันสมัย และสร้าง ความตระหนักรู้ด้านสุขภาพ (Health Consciousness) ได้ชัดขึ้น จะทำให้เห็นภาพของการเปลี่ยนแปลง แนวทางของนำไปใช้ในแต่ละช่วงชั้นตั้งแต่ปฐมวัยจนถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน
“การบูรณาการในหลักสูตร ต้องเท่าทันตามยุคสมัย ทั้งตัวสื่อ ความทันสมัยของโรค โรคอุบัติใหม่ นอกจากความเข้าใจต่อสุขภาพตัวเอง...และจะต้องให้เห็นของการเปลี่ยนแปลง ให้ไปถึงระดับของ health conscious เด็กตัดสินใจได้ สามารถเป็นคนคุณภาพ ด้วยการเลือกเป็นคนที่มีสุขภาพดีได้ด้วยตนเอง อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในการลดเรื่องของ NCD ในวัยเด็กได้ด้วย” ผอ.ณัฐชยา กล่าว
การดำเนินงานระยะถัดไปของโครงการ คือ การนำเรียนผู้บริหารระดับสูงของ สพฐ. เพื่อจัดเวทีพูดคุยกันระหว่างกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข มีการบันทึกความร่วมมือ MOU ร่วมกัน ในการใช้ทรัพยากร สื่อ องค์ความรู้ และการบูรณาการ ออกแบบหลักสูตรเข้าไปทดลองใช้ทั้งใน 4 ขนาดของโรงเรียนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครอบคลุมทุกภูมิภาคในประเทศ เพื่อให้เห็นถึงความเป็นไปได้
“ วันนี้อยู่ในการดำเนินการระยะที่ 2 จากตอนแรกเราตั้งใจจะทำงานเรื่องลดโรคไม่ติดต่อ แต่เมื่อได้มาคุยกันจริงๆ แล้ว จึงเห็นถึงความสำคัญของการบูรณาการตัวชี้วัด ซึ่งมีหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพผู้รวบรวม ส่วน สพฐ. จะวิเคราะห์สังเคราะห์ รวบรวมนวัตกรรม เพื่อบูรณาการรตัวชี้วัดร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์ม school lunch หรือโครงการกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน หลังจากและวางแผนร่วมกันในการพัฒนาและทดลองใช้นวัตกรรมการบูรณาการหลักสูตร health conscious มาคุยกันอย่างพี่น้องและเข้าใจครู ว่าครูมีความสามารถในการจัดการเรียนการสอนอย่างไร ทั้ง 2 กระทรวง มาลดตัวชี้วัดกัน มาใช้แพลตฟอร์มหรือช่องทางในการรายงานผลด้วยกัน” ผอ.ณัฐชยา เล่า
ทั้งนี้ครอบครัวเป็นอีกส่วนสำคัญ ซึ่งเป็นบริบทแวดล้อมตัวเด็กต้องเป็นตัวอย่างและสนับสนุนพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ รวมถึงในโรงเรียนเองที่ต้องมีการปรับ เช่น เมนูอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เรื่องของสื่อสีขาว เรื่องสื่อสุขภาวะ ส่งเสริมให้เด็กตัดสินใจเป็นในเรื่องสุขภาพองค์รวม
ในความรู้สึกของผู้ที่รับผิดชอบโครงการ ผอ.ณัฐชยา รู้สึกว่ามีเพื่อน จากที่เห็นว่าทุกคนให้ความสำคัญกับสุขภาพ ทุกฝ่ายหวังดีอยากให้เด็กสุขภาพดี และไม่หลงลืมว่าครูเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ทุกคนเลยเห็นใจครูมากขึ้น การทำงานด้วยความเข้าใจทำให้การขับเคลื่อนไปได้ง่าย การทำงานภายใต้บริบทของตนเองแต่เข้าใจผู้อื่น ทำให้งานประสบความสำเร็จได้มากขึ้น
“เราต้องยอมรับว่า กระทรวงศึกษาเน้นไปเรื่องของหลักสูตร เรื่องของนักเรียนและความรู้ แต่มันต้องเชื่อมโยงกับทางสังคมและหน่วยงานอื่นๆ โครงการนี้ทำให้เรามีความเข้าใจกันมากขึ้น ทั้งในเรื่องของการวิจัย ของกระทรวงสาธารณสุขเห็น pain point ร่วมกัน ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นทำให้เราสามารถต่อสู้ไปด้วยกันผ่านอุปสรรคปัญหาไปด้วยกัน ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นและมีเพื่อน เป็นเพื่อนที่มีความรู้จริงๆ ในแต่ละด้าน” ผอ.ณัฐชยา กล่าว
การมีเครือข่ายมีความสำคัญ ผอ.ณัฐชยายังกล่าวอีกว่า ในการทำงานแต่ละหน่วยงาน ไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองอย่างสมบูรณ์แบบทั้งหมด จำเป็นต้องมีหน่วยงานที่มีบทบาทหน้าที่ด้านสุขภาพโดยตรงส่งเสริม สนับสนุน ด้วยสุขภาพมีทั้งเรื่องทางกายและทางใจ การพัฒนาหลักสูตรก็ไม่ได้มองแค่ด้านร่างกาย เพียงอย่างเดียวเรื่องของสุขภาพจิตก็เป็นเรื่องสำคัญ การได้เพื่อนภาคีเข้ามาช่วยให้กระบวนการส่งเสริมสุขภาพทั้งทางกายและใจ ให้เท่าทันกับปัญหาปัจจุบันในสังคมและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อเด็กและเยาวชน
โอกาสจากการได้หันหน้าคุยกัน ทำให้เกิดการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆ ที่จะตอบโจทย์และแก้ปัญหาให้กับส่วนรวมได้มากขึ้น “เรามีความเชื่อว่า ถ้าทำในสิ่งที่ตอบโจทย์ ตอบ pain point ของสังคม เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เราจะสามารถทำได้” ผอ.ณัฐชยา กล่าวทิ้งท้าย.