Main Banner

การพัฒนาระบบข้อมูลสารพิษตกค้างในผักและผลไม้ระดับชาติ: เส้นทางความหวังใหม่สู่การปลอดโรค NCDs



      โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงมะเร็ง ถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย โดยมีผู้ป่วยกว่า 14 ล้านคนและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง. พฤติกรรมการบริโภคอาหารและการขาดการเคลื่อนไหวร่างกายเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่โรคเหล่านี้. องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้แนะนำให้บริโภคผักและผลไม้ขั้นต่ำ 400 กรัมต่อวัน ซึ่งมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าสามารถลดความเสี่ยงต่อ NCDs ได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ถึง 31% และมะเร็งหลายชนิด

      อย่างไรก็ตาม ผักและผลไม้ซึ่งเป็น "ดาบสองคม" และมีประโยชน์มหาศาล กลับสร้างความกังวลให้กับผู้บริโภค เนื่องจากปัญหา สารพิษตกค้าง โดยเฉพาะยาฆ่าแมลงและสารกำจัดศัตรูพืช. การได้รับสารพิษเหล่านี้สามารถสะสมในร่างกายและเป็นสาเหตุของ NCDs ได้เช่นกัน โดยเฉพาะโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งไขกระดูก รวมถึงเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไตวาย. ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่สามารถบอกได้ว่าผักที่มีสารปนเปื้อนมีหน้าตาเป็นอย่างไร ทำให้ขาดความมั่นใจในการบริโภคเพื่อลดความเสี่ยง NCDs. นอกจากนี้ การเข้าถึงผักและผลไม้ที่หลากหลายและปลอดภัยก็ยังเป็นข้อจำกัดสำหรับบางคน





สถานการณ์การเฝ้าระวังสารพิษตกค้างในปัจจุบันและความท้าทาย

      ปัจจุบัน ประเทศไทยมีการเฝ้าระวังความปลอดภัยของผักและผลไม้โดยหน่วยงานภาครัฐหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ

  • ต้นน้ำ (แปลงปลูก) : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตรและสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) มีบทบาทในการให้ความรู้เกษตรกรเกี่ยวกับหลักปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) และการรับรองคุณภาพ
  • กลางน้ำ (แหล่งผลิต/โรงคัดบรรจุ) : กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ดูแลโรงคัดบรรจุให้เป็นไปตามมาตรฐาน
  • ปลายน้ำ (สถานที่จำหน่าย/ผู้บริโภค): กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัย อย. หน่วยเคลื่อนที่ความปลอดภัยด้านอาหาร และสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร (กทม.) สุ่มตรวจในตลาดสด ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหาร

      แม้จะมีการทำงานจากหลายหน่วยงาน แต่การรวบรวมข้อมูลจากโครงการวิจัย “การบูรณาการระบบข้อมูลสารกำจัดศัตรูพืชในผักและผลไม้สดตลอดห่วงโซ่อุปทาน” ในเฟส 1 ได้ชี้ให้เห็นถึงช่องว่างสำคัญ

  1. ขาดการเชื่อมโยงข้อมูล : ข้อมูลการเฝ้าระวังจากแต่ละหน่วยงานยังกระจัดกระจายและขาดการบูรณาการในฐานข้อมูลกลาง ทำให้ยากต่อการทราบสถานการณ์จริงในภาพรวมของประเทศ และการวางแผนแก้ไขปัญหาเชิงนโยบาย
  2. ข้อจำกัดในการตามสอบย้อนกลับ (Traceability) : ผลผลิตที่พบสารตกค้างจำนวนมาก โดยเฉพาะที่มาจากตลาดทั่วไปหรือแผงจำหน่ายที่ไม่มีระบบรับรอง ไม่สามารถสืบย้อนกลับไปยังแหล่งผลิตต้นทางได้ ทำให้ไม่สามารถระบุสาเหตุและแก้ไขปัญหาที่ต้นตอได้อย่างตรงจุด. โรงคัดบรรจุที่ได้มาตรฐาน (เช่น GMP) และสินค้าที่มีการรับรอง (เช่น Q Mark) มักจะสามารถตามสอบกลับได้ แต่ยังคงเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับตลาดทั้งหมด
  3. ความแตกต่างของวิธีการตรวจวิเคราะห์: หน่วยงานต่างๆ ใช้ชุดทดสอบ (Test kit) ที่แตกต่างกัน (เช่น 2 กลุ่มสาร vs. 4 กลุ่มสาร) และมีความสามารถในการตรวจวิเคราะห์สารมาตรฐานในห้องปฏิบัติการไม่เท่ากัน (เช่น 100 กว่ารายการ vs. 500 กว่ารายการ) ทำให้ผลการตรวจอาจไม่ครอบคลุมและไม่สามารถบ่งชี้สถานการณ์การตกค้างที่แท้จริงได้. นอกจากนี้ การได้ผลตรวจจากห้องปฏิบัติการมักใช้เวลานาน ทำให้ผลผลิตถึงมือผู้บริโภคไปแล้ว
  4. ข้อจำกัดด้านงบประมาณและขอบเขตการสุ่มตัวอย่าง : การวางแผนการสุ่มตัวอย่างขึ้นอยู่กับงบประมาณประจำปี ซึ่งส่งผลต่อความครอบคลุมของชนิดและจำนวนตัวอย่าง ทำให้การเปรียบเทียบสถานการณ์ข้ามปีทำได้ยาก
  5. การสื่อสารกับผู้บริโภค: แม้จะมีการรณรงค์ให้ล้างผักเพื่อลดสารปนเปื้อน แต่ผู้บริโภคยังขาดข้อมูลที่ชัดเจนและเชื่อถือได้เกี่ยวกับแหล่งผลิตที่ปลอดภัย

      ปัญหาเหล่านี้ส่งผลให้ประเทศไทยยังคงเผชิญกับสถานการณ์การปนเปื้อนสารเคมีในผักและผลไม้ที่น่าเป็นห่วง โดยข้อมูลปี 2565 พบว่า 34.3% ของตัวอย่างผักและผลไม้สดไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน และบางชนิด เช่น คะน้า พริกแดง ถั่วฝักยาว องุ่น และส้ม พบการตกค้างเกิน 50%. แม้แต่สินค้าส่งออกไปยังยุโรปจากไทยก็ยังพบสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน. ยิ่งไปกว่านั้น มูลค่าทางเศรษฐกิจจากการผลิตพืชของไทยยังต่ำกว่าประเทศใน EU อย่างมีนัยสำคัญ แม้จะใช้สารเคมีในปริมาณที่มากกว่า สะท้อนถึงการใช้สารเคมีที่อาจไม่ได้ช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิต



"ตามสอบย้อนกลับ": ทางออกและความหวังใหม่

      แนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาคือการนำ "กระบวนการตามสอบย้อนกลับ" (Traceability) มาใช้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน. ระบบนี้จะช่วยให้สามารถสืบค้นย้อนกลับไปยังแหล่งที่มาของผลผลิตที่มีปัญหาได้ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นทางได้อย่างตรงจุด. กรณีศึกษาได้แสดงให้เห็นว่าการตามสอบย้อนกลับสามารถช่วยลดการตกค้างได้จริง เช่น:

  • การปนเปื้อนสารเคมีโดยไม่ตั้งใจจากการใช้อุปกรณ์พ่นยาชนิดเดียวกันกับพืชต่างชนิด หรือการปนเปื้อนข้ามจากแปลงใกล้เคียง
  • การปนเปื้อนจากน้ำหมักที่ทำจากพริกที่มีสารเคมีตกค้าง
  • การปนเปื้อนจากขั้นตอนการคัดบรรจุหรือล้างผลไม้ที่รวมผลผลิตที่ใช้สารเคมีกับไม่ใช้สารเคมีเข้าด้วยกัน
  •       เมื่อระบุสาเหตุได้ หน่วยงานภาครัฐสามารถเข้าไปทำงานร่วมกับเกษตรกรหรือผู้ประกอบการเพื่อปรับปรุงแก้ไขได้ทันที เช่น การให้คำแนะนำการใช้สารเคมีอย่างเหมาะสม การจัดการอุปกรณ์ หรือการคัดแยกผลผลิตอย่างถูกต้อง



การบูรณาการระบบข้อมูลระดับชาติ: ก้าวสำคัญสู่ความปลอดภัย

      เพื่อแก้ไขปัญหาช่องว่างที่มีอยู่ “การพัฒนาระบบข้อมูลสารพิษตกค้างในผักและผลไม้สดระดับชาติ” ภายใต้โครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อยกระดับการทำงานหลายภาคส่วนที่มีประสิทธิผล ปฏิบัติได้ และยั่งยืน เพื่อการป้องกันและควบคุมปัญหา โรคไม่ติดต่อเรื้องรัง ด้วยวิธีการสื่อสารความรู้แบบครอบคลุมโดยมีผู้ใช้ความรู้เป็นศูนย์กลาง สนับสนุนทุนการดำเนินงานโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ได้มุ่งเน้นการผลักดัน 3 ประเด็นหลัก

  1. ผลักดันให้เกิดฐานข้อมูลกลางด้านการบูรณาการข้อมูลเฝ้าระวังสารเคมีตกค้างในผักและผลไม้สด: เป็นหัวใจสำคัญที่ต้องการให้ผู้บริหารระดับสูงสามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อวางแผนเชิงนโยบายและจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ. ข้อมูลจะต้องมีการตรวจสอบและยืนยันเพื่อให้มีความถูกต้องและมาจากวิธีการเก็บและวิเคราะห์เดียวกัน
  2. การนำระบบตามสอบกลับ (Traceability) มาใช้แก้ปัญหาสารเคมีตกค้างในผักและผลไม้สด: ระบบนี้จะช่วยให้สามารถระบุแหล่งที่มาของผลผลิตที่ปลอดภัยและไม่ปลอดภัยได้อย่างแม่นยำ
  3. การบูรณาการการตรวจวิเคราะห์สารเคมีตกค้างในผักและผลไม้สด: รวมถึงการกำหนดแนวทางการสุ่มตัวอย่างและเทคนิคการตรวจวิเคราะห์ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้สามารถบ่งบอกสถานการณ์ภาพรวมของประเทศได้อย่างแท้จริง

      ความสำเร็จของโครงการนี้ต้องอาศัย ความร่วมมือข้ามภาคส่วน อย่างจริงจังระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข และกรุงเทพมหานคร. แม้การทำงานข้ามกระทรวงจะมีข้อจำกัด แต่ทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องถึงความจำเป็นในการมีฐานข้อมูลกลาง

      "จุดรวบรวม" (ล้ง หรือ Collection Points) ถูกมองว่าเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการนำระบบข้อมูลและ Traceability มาใช้. เนื่องจากเกษตรกรรายย่อยจำนวนมากอาศัยจุดรวบรวมในการกระจายสินค้า การทำงานกับจุดรวบรวมเหล่านี้ โดยการผลักดันให้มีมาตรฐานและระบบบันทึกข้อมูลแหล่งที่มาของสินค้า จะช่วยให้สามารถตามสอบกลับได้ตลอดห่วงโซ่. ตัวอย่างเช่น ล้งทุเรียนที่ถูกกดดันจากตลาดต่างประเทศให้มีมาตรฐาน ก็สามารถพัฒนาจนเป็นต้นแบบได้

      นอกจากนี้ การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเกษตรกรเกี่ยวกับประโยชน์ของการผลิตที่ปลอดภัย ไม่ใช่เพียงแค่ด้านรายได้ แต่รวมถึงสุขภาพของตนเองและครอบครัวด้วย (เช่น ประสบการณ์ของเกษตรกรที่สุขภาพดีขึ้นหลังเข้าสู่ระบบ GAP และไก่ที่เลี้ยงไม่ตายเพราะการจัดการสารเคมีที่ดีขึ้น)





อนาคตที่คาดหวัง

      เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในการบริโภคผักและผลไม้ได้อย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน เพื่อลดความเสี่ยง NCDs อย่างแท้จริง. สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อ....

  • มี ฐานข้อมูลกลางระดับประเทศ ที่รวบรวมข้อมูลสารพิษตกค้างจากทุกหน่วยงานอย่างเป็นระบบและสามารถเข้าถึงได้
  • ระบบ ตามสอบย้อนกลับ ถูกนำมาใช้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่แปลงปลูกจนถึงมือผู้บริโภค.
  • มีการ สื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ แก่ประชาชน เพื่อปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคให้เห็นคุณค่าของผักผลไม้ที่ปลอดภัย แม้หน้าตาอาจไม่สวยงาม
  • มี ความต่อเนื่องของนโยบายและการทำงาน จากภาครัฐอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการให้การสนับสนุนจุดรวบรวม
  • เลือก โฟกัส ในการแก้ไขปัญหาพืชผักที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น ส้มและพริก ซึ่งมีปัญหาการตกค้างมาก และมีระบบการผลิตที่สามารถปรับปรุงได้ง่ายกว่า เพื่อสร้างโมเดลความสำเร็จที่ชัดเจน

      การพัฒนาระบบข้อมูลสารพิษตกค้างในผักและผลไม้ระดับชาติไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็น “เส้นทางความหวังใหม่" ที่จะนำไปสู่ความปลอดภัยทางอาหารที่ยั่งยืน และช่วยยกระดับสุขภาพของคนไทยให้ห่างไกลจากโรค NCDs ได้ในที่สุด. การเริ่มต้นที่ดีคือการบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานเฝ้าระวัง 4 หน่วยงานหลัก (กรมวิชาการเกษตร, มกอช., กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, อย.) และสร้างคณะทำงานร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง