สถานการณ์สุขภาพของประเทศไทยเผชิญกับปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญมาก โดยสามในสี่ของผู้เสียชีวิตในประเทศไทยเกิดจากโรค NCDs ปัญหาเหล่านี้ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมสุขภาพ ดังนั้น การปลูกฝังพฤติกรรมสุขภาพที่ดีตั้งแต่ยังเป็นเด็กและวัยรุ่นในระบบโรงเรียนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากนี้ สถานการณ์ภาวะทุพโภชนาการในเด็กวัยเรียนก็เป็นที่น่าเป็นห่วง โดยอัตราเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีที่มีภาวะอ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9 ในปี 2562 เป็นร้อยละ 11 ในปี 2565 และยังพบว่าเด็กมีภาวะเตี้ยแคระแกร็น น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ และผอมแห้งอยู่ที่ร้อยละ 13 ในปี 2565 สุขภาพกายและใจของผู้เรียนที่น่าเป็นห่วงนี้จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรที่มีคุณภาพของประเทศในอนาคต
โรงเรียนจึงเป็นเป้าหมายหลักในการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านสุขภาพและปลูกฝังความตระหนักรู้ตั้งแต่เด็กในวัยเรียน อย่างไรก็ตาม การที่หน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ มากมายมุ่งตรงมายังโรงเรียน ไม่เพียงแต่ในประเด็นสุขภาพเท่านั้น แต่รวมถึงประเด็นทางสังคมอื่น ๆ ด้วย สิ่งนี้ได้กลายเป็น ภาระงานเพิ่มเติมของครู นอกเหนือจากการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียน
ปัญหาของ "ภาระครู" ในการส่งเสริมสุขภาพ
จากผลการสำรวจและข้อมูลพบว่า ครูไทยทำงานหนักมาก แต่กลับมีเวลาสอนนักเรียนได้ไม่เต็มที่ ในปี 2557 ครูใช้เวลากับกิจกรรมนอกห้องเรียนมากถึง 84 วันจาก 200 วันทำการ โดยงานส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่การสอนคือการประเมินต่าง ๆ และในปี 2562 ร้อยละ 58 ของครูใช้เวลาไปกับงานอื่นที่ไม่ใช่การสอนมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือราว 1 วันทำงานต่อสัปดาห์ ปัญหานี้เกิดจากหลายสาเหตุ
- โครงการที่หลากหลายและซ้ำซ้อน : มีโปรแกรมสุขภาพจำนวนมาก (50-60 โครงการ) ที่ต่างคนต่างเข้าไปทำงานกับโรงเรียน สะท้อนถึงการขาด การบูรณาการ โรงเรียนเฉลี่ยรับ 4-5 โครงการต่อปี โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการระยะสั้นที่ไม่ต่อเนื่อง หลายโครงการมีเนื้อหาคล้ายกันแต่มาจากต่างหน่วยงาน ทำให้เกิดการดำเนินงานที่ซ้ำซ้อน
- ภาระเอกสารและการรายงานตัวชี้วัด : โครงการต่าง ๆ ต้องการเอกสารและตัวเลขเพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดตามระบบราชการ ซึ่งเป็นภาระงานจำนวนมากสำหรับครูที่ต้องจัดทำรายงานจำนวนผู้เข้าร่วมและกิจกรรม แม้โรงเรียนจะมีตัวชี้วัดของตนเองอยู่แล้ว แต่การเพิ่มตัวชี้วัดจากโครงการภายนอกทำให้ครูมีภาระงานมากขึ้น การรายงานเหล่านี้มักไม่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาการสอนและไม่สะท้อนถึงคุณภาพการศึกษา
- งบประมาณที่ไม่เพียงพอ : หลายครั้งงบประมาณที่สนับสนุนโรงเรียนไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้น ทำให้ครูและโรงเรียนต้องรับผิดชอบและดำเนินงานให้เสร็จสิ้น อาจต้องใช้งบประมาณส่วนตัวหรือมี งบประมาณแฝง ที่เจ้าของโครงการไม่ทราบ
- การศึกษาด้านสุขภาพกลายเป็นการท่องจำ : แม้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จะกำหนดให้สุขศึกษาและพลศึกษาเป็นวิชาสำคัญ แต่การส่งเสริมสุขภาพกลับกลายเป็นการเรียนรู้เพื่อ ท่องจำ ไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันของเด็ก เมื่อพ้นเขตโรงเรียนไป เด็กก็ไม่ได้ให้ความสนใจหรือใส่ใจในการนำองค์ความรู้ไปใช้ในชีวิตจริง
รศ.ดร. ภูเบศร์ สมุทรจักร เปรียบเทียบสถานการณ์โรงเรียนกับ "ปลั๊กพ่วง" ที่มีช่องให้เสียบเยอะมาก ซึ่งทุกหน่วยงานต้องการเสียบปลั๊กเพื่อเข้าถึงเด็กและเยาวชน ทำให้ปลั๊กพ่วงร้อนจนฟิวส์ใกล้ขาด โรงเรียนอยู่ในสภาวะที่ไม่ทันได้ตั้งรับและรับมือไม่ไหว ซึ่งส่งผลให้ครูที่ดูแลสุขภาพของนักเรียนมีภาวะความเครียดค่อนข้างสูงจากภาระงาน
ครูคือกลไกสำคัญ: ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นภาระเพิ่มเติม?
ครูเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญและเป็นกลไกในการขับเคลื่อนโครงการและการจัดการเรียนการสอนด้านสุขศึกษาและพลศึกษา เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ด้านสุขภาพได้อย่างเต็มศักยภาพและมีความสุข ปรัชญาทางการศึกษาในอดีตอย่างอริสโตเติลหรือเพลโต รวมถึงสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของสุขภาพที่ดีในการนำไปสู่การเรียนรู้ที่ดี ดังนั้น หากครูมีสุขภาพกายและใจที่ดี ย่อมสามารถส่งต่อความรู้ด้านสุขภาพที่ดีไปถึงนักเรียนได้
ในการแก้ไขปัญหา ภาระครู และทำให้การส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียนมีประสิทธิภาพและยั่งยืน จำเป็นต้องมีการดำเนินการดังนี้:
- การบูรณาการและการจัดระเบียบ :
- ลดความซ้ำซ้อนของโครงการ : จำเป็นต้องมีการ จัดระเบียบปลั๊กพ่วง นี้ใหม่ โดยลดจำนวนโครงการที่ซ้ำซ้อน และเปลี่ยนจากหลายหน่วยงานที่ต่างคนต่างทำมาเป็นการร่วมกันวางแผนล่วงหน้า
- บูรณาการตัวชี้วัดและแพลตฟอร์มการรายงาน : ควรมีการ บูรณาการ ตัวชี้วัดและใช้แพลตฟอร์มการรายงานผลร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและโรงเรียน เพื่อลดภาระเอกสารของครู
- การจัดการเวลา: จัดระเบียบการดำเนินกิจกรรมด้านสุขภาพให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การตรวจสุขภาพรวมทุกประเด็นให้เสร็จสิ้นในวันเดียว หากสามารถ บูรณาการ การจัดการเวลาได้
- การทำงานหลายภาคส่วน (Multisectoral Collaboration) :
- บทบาทผู้บริหารระดับสูง : สิ่งสำคัญที่สุดคือ ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ และ ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานด้านสุขภาพ (เช่น กระทรวงสาธารณสุข และ สสส.) ควรมาร่วมนั่งพูดคุยและตกลงร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมถึงความสำคัญของประเด็นนี้ การมีบันทึกความร่วมมือ (MOU) เป็นสิ่งสำคัญที่จะปลดล็อกงานในระยะยาว
- "คนในที่ใช่" : การมี "คนในที่ใช่" ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับกลางที่สามารถทำงานร่วมกันและเข้าใจบริบทของกันและกัน จะช่วยขับเคลื่อนงานได้อย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ แม้มีการเปลี่ยนผู้บริหารระดับสูง
- แบ่งปันองค์ความรู้ : หน่วยงานที่ผลิตองค์ความรู้ด้านสุขภาพที่ทันสมัยควรส่งต่อข้อมูลที่เป็นปัจจุบันให้สถานศึกษา เช่น โรคอุบัติใหม่ หรือปัญหาสุขภาพจิต
- การปรับปรุงหลักสูตร:
- หลักสูตรฐานสมรรถนะ : ควรมีการปรับ หลักสูตรฐานสมรรถนะ โดยเน้นการสร้าง Health Consciousness (ความตระหนักรู้ด้านสุขภาพ) ในตัวเด็ก เพื่อให้พวกเขาสามารถตัดสินใจเลือกพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดีได้ด้วยตนเองในอนาคต
- บูรณาการในชีวิตประจำวัน : สุขศึกษาจะต้องไม่เป็นเพียงเรื่องในห้องเรียน แต่ต้อง บูรณาการ เข้าไปอยู่ในทุกมิติของการใช้ชีวิตของเด็ก สอดคล้องกับ "ยุวชนนิเวศ" ที่รวมถึงพ่อแม่ ครอบครัว และชุมชน
- อัปเดตเนื้อหา: หลักสูตรปัจจุบันที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2551 ยังไม่มีการปรับปรุงอย่างเป็นกิจจะลักษณะ จึงเป็นโอกาสสำคัญในการเพิ่มเนื้อหาให้ทันสมัยและครอบคลุมโรคอุบัติใหม่ รวมถึงการรับมือกับปัญหาสุขภาพจิต
- ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ : การลดเวลาเรียนและเพิ่มเวลารู้จะช่วยให้เด็กได้ฝึกฝนทักษะและนำไปใช้จริง ซึ่งส่งผลต่อเจตคติที่ดีต่อการส่งเสริมสุขภาพ และ ลดภาระครู เพื่อให้ครูได้เน้นบทบาทการสอนและออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่
- งบประมาณที่สมเหตุสมผล : การจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอและสมเหตุสมผลกับการดำเนินงานจริงจะช่วยลดภาระทางการเงินที่อาจตกกับครู
- ความเข้าใจและความร่วมมือ : การทำงานด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างหน่วยงานด้านการศึกษาและสาธารณสุข จะช่วยให้การขับเคลื่อนงานเป็นไปได้ง่ายขึ้น และสร้างความรู้สึกอบอุ่น มีเพื่อนร่วมงานที่คอยสนับสนุน
ครูคือเครื่องมือสำคัญ เพื่อสุขภาพที่ยั่งยืนของเด็กไทย
หากเราต้องการใช้กลุ่มเป้าหมายที่เป็น เด็ก เพื่อปลูกฝังให้พวกเขามีความรอบรู้และตระหนักถึงการป้องกันโรค NCDs "ครู" คือเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการสร้างการเรียนรู้ให้แก่เด็ก ครูเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับนักเรียนมากที่สุดและมีบทบาทโดยตรงในการส่งเสริมความรู้และทักษะด้านสุขภาพ ดังนั้น โจทย์ใหญ่ในการดำเนินงานคือ ทำอย่างไรให้การสร้างเสริมสุขภาพเหล่านี้ไม่กลายเป็นภาระเพิ่มเติมให้แก่ครู ด้วยการ บูรณาการ โครงการ ตัวชี้วัด และแพลตฟอร์มการรายงานผลให้เป็นระบบเดียวกัน ปรับปรุงหลักสูตรให้ทันสมัยและเน้นการปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวัน และส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างเข้าใจระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับผู้บริหารสูงสุด การดำเนินการเหล่านี้จะช่วย ลดภาระครู ทำให้ครูไม่รู้สึกเหนื่อยล้า แต่กลับมีกำลังใจและเวลามากขึ้นในการมุ่งเน้นการสอนด้านสุขภาพอย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะส่งผลให้ การสร้างเสริมสุขภาพผ่านการทำงานของครูยั่งยืนมากยิ่งขึ้น และนำไปสู่การพัฒนาเยาวชนให้มีสุขภาพกายและใจที่ดี เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต