ปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญและใหญ่มากในประเทศไทย โดยมีผู้เสียชีวิตถึงสามในสี่รายในประเทศไทยเกิดจากโรค NCDs ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริโภคสินค้าทำลายสุขภาพ เช่น บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารหวาน/มัน/เค็ม ราคาของสินค้าเหล่านี้มีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคว่าจะซื้อในปริมาณเท่าใด เพื่อแก้ไขปัญหานี้ รัฐบาลจึงใช้กลไกภาษีสรรพสามิตเป็นหลักในการควบคุมการบริโภคสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
มาตรการทางการคลัง โดยเฉพาะภาษีสรรพสามิต มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการควบคุมการบริโภคสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ นอกจากต้นทุนและกำไรจากการผลิตและการจำหน่ายแล้ว วิธีการภาษี อัตราภาษี และค่าธรรมเนียมต่างๆ ล้วนมีผลต่อราคาขายปลีก ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค แนวคิดพื้นฐานคือ Externalities หรือผลกระทบภายนอกที่เกิดขึ้นจากการผลิตหรือการบริโภคสินค้าหรือบริการ เช่น ค่าใช้จ่ายของรัฐในการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นจากการบริโภคสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ การเพิ่มภาษีจะทำให้ต้นทุนและราคาสินค้าสูงขึ้น โดยหวังให้ผู้บริโภคลดการบริโภคลง หรืออย่างน้อยช่วยเพิ่มรายได้ของรัฐเพื่อดูแลค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบเชิงลบเหล่านั้น
ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากผู้ผลิตและผู้นำเข้า แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก:
ในปี 2560 กรมสรรพสามิตได้ปฏิรูปกฎหมายภาษีสรรพสามิต โดยรวมกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 7 ฉบับเข้าด้วยกันเป็นพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 การปฏิรูปนี้รวมถึงการปรับโครงสร้างการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสินค้ายาสูบ สุรา และเครื่องดื่ม โดยมีวัตถุประสงค์หลักหนึ่งคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนจากการบริโภคสินค้าที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ
สินค้าทำลายสุขภาพที่กล่าวถึงในบริบทของการป้องกัน NCDs ได้แก่ บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารหวาน/มัน/เค็ม การบริโภคสินค้าเหล่านี้ส่งผลให้เกิดต้นทุนแอบแฝง (Negative Externalities) ที่ผู้ผลิตไม่ได้รวมไว้ในราคาขาย เช่นเดียวกับที่ภาษีสรรพสามิตยาสูบ ภาษีสรรพสามิตสุรา/เบียร์ และภาษีเครื่องดื่ม ถูกกำหนดขึ้นเพื่อสะท้อนความเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
โครงสร้างราคาของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยประกอบด้วยภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และภาษีสรรพสามิต ซึ่งมีทั้งภาษีตามมูลค่าและภาษีตามปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ นอกจากนี้ ยังมีเงินนำส่งกองทุนต่างๆ (Earmarked Tax) เช่น กองทุน Thai PBS 1.5%, สสส. 2%, กองทุนกีฬา 2%, กองทุนผู้สูงอายุ 2% และภาษีท้องถิ่น 10% ของภาษีสรรพสามิต ภาษีสรรพสามิตสุราแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ สุราแช่ และ สุรากลั่น โดยมีอัตราภาษีที่แตกต่างกันไป:
ในปี 2567 รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสุราได้ 154,617 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากเบียร์ (58%) สุราขาว (18%) และสุราสี (18%) นอกจากนี้ยังมีการกำหนดเงื่อนไขสำหรับการผลิตสุราเพื่อการค้าและมิใช่เพื่อการค้า เช่น การจำกัดกำลังการผลิตสำหรับสุราที่มิใช่เพื่อการค้าไม่เกิน 200 ลิตรต่อปี
แม้ประเทศไทยจะใช้มาตรการภาษีเพื่อควบคุมสินค้าสุรา แต่โครงสร้างภาษีสรรพสามิตสุราในปัจจุบันยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายด้านการสะท้อนต้นทุนแอบแฝง (Negative Externalities) ได้อย่างเหมาะสมนัก โดยมีข้อสังเกตหลายประการ
จากปัญหาและข้อจำกัดข้างต้น มีเป้าหมายในการปฏิรูปโครงสร้างภาษีสรรพสามิตสุราเพื่อส่งเสริมสุขภาพของประชาชนดังนี้:
นอกเหนือจากเป้าหมายหลักเหล่านี้ แผนปฏิบัติการยังอาจพิจารณามาตรการอื่นๆ เช่น การนำแนวคิดการกำหนด ราคาขั้นต่ำต่อหน่วย (Minimum Unit Pricing: MUP) ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาใช้ในประเทศไทย และการจัดการการจำหน่ายสุราที่หลบเลี่ยงการชำระภาษี
ผลการดำเนินงานของโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อยกระดับการทำงานหลายภาคส่วนที่มีประสิทธิผล ปฏิบัติได้ และยั่งยืน เพื่อการป้องกันและควบคุมปัญหา โรคไม่ติดต่อเรื้องรัง ด้วยวิธีการสื่อสารความรู้แบบครอบคลุมโดยมีผู้ใช้ความรู้เป็นศูนย์กลาง ในระยะที่ 2 ซึ่งดำเนินการโดยนักวิชาการจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและภาคีสุขภาพ กำลังมุ่งเน้นศึกษาและพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อพัฒนามาตรการทางการคลังเพื่อควบคุมการบริโภคสินค้าทำลายสุขภาพเหล่านี้ รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยได้จัดทำ แผนแม่บทการปฏิรูปนโยบายภาษีสรรพสามิตสุรา (Alcohol Excise Tax Policy Master Plan) เพื่อผลักดันให้เกิดนโยบายต่อไป
การปฏิรูปโครงสร้างภาษีสรรพสามิตสุราในประเทศไทยจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้โครงสร้างภาษีมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น สามารถสะท้อนถึงหลักการด้านสุขภาพภายใต้ข้อจำกัดทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน และนำไปสู่การป้องกันและควบคุมปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว